หูตึง คืออะไร และสามารถรักษาได้หรือไม่

หูตึงเป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีการรับฟังเสียงที่น้อยลงหรือมีการได้ยินที่แย่กว่าปกติ ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้สูงอายุและคนหนุ่มสาว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม ในปัจจุบันหูตึงกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเกิดจากอายุที่มากขึ้น การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง หรือแม้กระทั่งปัจจัยทางพันธุกรรม

หูตึงเกิดขึ้นได้อย่างไร?

หูตึงเกิดจากการที่ระบบการได้ยินของร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก เช่น เสียงดังเกินไป การติดเชื้อในหู การใช้ยาบางชนิด หรือการสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายใน เช่น พันธุกรรมหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทหู ที่สามารถทำให้เกิดภาวะหูตึงได้

ปัจจัยที่ทำให้หูตึงได้แก่:

  1. อายุ: เมื่อเราอายุมากขึ้น ความสามารถในการได้ยินจะลดลงเนื่องจากเซลล์ประสาทหูเสื่อมลง
  2. การสัมผัสกับเสียงดัง: การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น โรงงาน การใช้หูฟังที่มีระดับเสียงสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือการเข้าร่วมคอนเสิร์ตที่มีเสียงดัง สามารถทำให้การได้ยินเสื่อมสภาพได้
  3. พันธุกรรม: มีหลายครอบครัวที่มีประวัติการสูญเสียการได้ยิน ซึ่งสามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้
  4. การติดเชื้อในหู: การติดเชื้อในหูชั้นกลางหรือชั้นในอาจทำให้เกิดภาวะหูตึงชั่วคราวหรือถาวร
  5. การใช้ยา: ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะบางประเภทหรือยาที่ใช้ในการรักษามะเร็ง สามารถทำให้เซลล์ประสาทหูเสื่อมลงและทำให้การได้ยินลดลง

อาการของหูตึงเป็นอย่างไร?

อาการหลักของภาวะหูตึงคือการที่ผู้ป่วยไม่สามารถได้ยินเสียงได้อย่างชัดเจนเหมือนเดิม ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าต้องเปิดเสียงโทรทัศน์หรือวิทยุดังขึ้น หรืออาจพบว่าการสนทนากับผู้อื่นมีความยากลำบากขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีเสียงรบกวน นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นๆ เช่น:

  • การฟังเสียงเบาหรือเสียงสูงได้ยาก
  • รู้สึกหงุดหงิดหรือเหนื่อยง่ายเมื่อต้องฟังเสียงนานๆ
  • มีปัญหาในการแยกแยะเสียงในที่ที่มีเสียงรบกวน
  • ไม่สามารถฟังการสนทนาได้อย่างต่อเนื่อง
  • ต้องขอให้คนอื่นพูดซ้ำบ่อยๆ

การตรวจวินิจฉัยหูตึง

เมื่อเรามีอาการหูตึงหรือสงสัยว่าตนเองอาจมีปัญหาในการได้ยิน ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจวินิจฉัย แพทย์อาจทำการตรวจสอบการได้ยินด้วยวิธีต่างๆ เช่น การทดสอบความสามารถในการได้ยินเสียงระดับต่างๆ หรือการใช้เครื่องตรวจวัดการตอบสนองของประสาทหู การตรวจเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินระดับความรุนแรงของภาวะหูตึงและกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

การรักษาหูตึง

การรักษาหูตึงขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของภาวะ หากหูตึงเกิดจากการติดเชื้อหรือการสะสมของขี้หู แพทย์อาจทำการรักษาด้วยการล้างหูหรือให้ยารักษาการติดเชื้อ ในกรณีที่หูตึงเกิดจากเสียงดังหรือสาเหตุอื่นๆ การรักษาอาจเป็นไปในรูปแบบการใช้เครื่องช่วยฟังหรือการผ่าตัด

  1. เครื่องช่วยฟัง: เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มระดับเสียงที่เข้ามาในหู เครื่องช่วยฟังสามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟังเสียงได้ชัดเจนขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
  2. การผ่าตัด: ในบางกรณี การผ่าตัดอาจเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาทางโครงสร้างหูหรือมีเนื้องอกในหู
  3. การรักษาด้วยยา: ยาบางชนิดสามารถช่วยบรรเทาอาการหูตึงได้ เช่น ยารักษาการติดเชื้อหรือยาที่ช่วยลดการอักเสบในหู

การป้องกันหูตึง

แม้ภาวะหูตึงบางครั้งอาจไม่สามารถป้องกันได้เนื่องจากเกิดจากพันธุกรรมหรืออายุ แต่เรายังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดหูตึงได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้:

  • หลีกเลี่ยงการฟังเสียงดังเป็นเวลานาน
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกันหูเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง
  • รักษาสุขภาพหูด้วยการล้างหูอย่างถูกวิธีและหลีกเลี่ยงการใช้วัตถุแปลกปลอมเข้าสู่หู
  • ตรวจสุขภาพหูเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน

Octavis ผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการได้ยิน

ประโยชน์ Octavis:

  • ช่วยเสริมการไหลเวียนโลหิต เสริมสุขภาพการได้ยิน และการได้ยินของหู
  • ช่วยบำรุงระบบประสาท และสมอง ช่วยปรับประสิทธิภาพการได้ยิน
  • ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์
  • ลดอาการหูอื้อและสูญเสียการได้ยิน
  • ช่วยส่งเสริมการรักษาโรคที่เกี่ยวกับการได้ยิน เช่น การอักเสบของต่อมติดเชื้อ, หูอื้อ, ปวดหู เป็นต้น
  • ช่วยรักษาสุขภาพของหูชั้นใน

 

ส่วนประกอบ Octavis:

#Vitamin A : ช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น โดยช่วยสร้างเม็ดสีที่มีคุณสมบัติไวต่อแสง ช่วยให้ตาสู้แสงได้ในเวลากลางวัน รักษาอาการโรคตาฟาง หรือตาบอดในตอนกลางคืน ช่วยในการการสร้างเซลล์ใหม่ ช่วยปกป้องอวัยวะก้นหอย (คอเคลียร์) จากความเสียหาย ช่วยรักษาสุขภาพของหูชั้นใน

#Vitamin E (Tocopherol) : มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย โดยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์ ช่วยให้หลอดเลือดหัวใจดีขึ้น โดยการเพิ่มกิจกรรมของไนตริกออกไซด์ซินเทส ซึ่งผลิตไนตริกออกไซด์ที่ทาให้เส้นเลือดคลายตัวได้ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการแข็งตัวของหลอดเลือด ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้โดยยับยั้งการสร้าง protein kinase C และ collagenase ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เซลล์มะเร็งโต ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ต้านการอักเสบ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยปรับปรุงการตอบสนองของแอนติบอดี และยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีและอีช่วยป้องกันความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่สามารถทำลายเซลล์ที่บอบบางของหูชั้นใน ช่วยให้เลือดไหลเวียนในหูชั้นในได้ดีขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียการได้ยิน

#Vitamin C (Ascorbic acid) : เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ปกป้องผิวจากรังสี UV ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดความหยาบกร้านของผิว ช่วยในการสมานแผลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวหนัง ทำให้เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ และกระดูกมีความแข็งแรงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของภูมิต้านทานต่อโรคติดเชื้อ ช่วยลดการอักเสบต่าง ๆ มีฤทธิ์เพิ่มการทางานของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งในการฆ่าเชื้อโรค ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันในเลือด

#Folic Acid : เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ จะช่วยเสริมสร้างกระบวนการผลิตเซลล์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ตั้งครรภ์ Folic Acid ช่วยป้องกันการแท้งบุตร ความพิการแต่กำเนิดเกี่ยวกับสมองและกระดูกสันหลังของทารก Folic Acid ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร เป็นโคเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้กรดอะมิโนแตกตัวได้ดีขึ้น มีส่วนสาคัญในการสร้างเม็ดเลือด และช่วยให้เม็ดเลือดมีความแข็งแรงมากขึ้น ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร แก้อาการอ่อนเพลีย และช่วยบารุงผิวพรรณและสุขภาพ

#Vitamin D : ช่วยดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัสซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน มีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวาน และยังมีความสำคัญต่อการดูดซึมแคลเซียม แคลเซียมจำเป็นต่อการทำงานของกระดูกเล็กๆ ในหูชั้นกลางที่ส่งคลื่นเสียงไปยังหูชั้นใน

#Zinc amino acid : มีส่วนช่วยในการลดโอกาสจอประสาทตาเสื่อม อาการตาบอดกลางคืน ตาพร่ามัว และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ เป็นแร่ธาตุที่ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันการติดเชื้อในหู ควบคุมความสมดุลของของเหลวในหูชั้นใน สังกะสียังมีบทบาทในการซ่อมแซมเซลล์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสุขภาพของระบบอวัยวะการได้ยิน

#Alpha lipoic acid : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ต้านอนุมูลอิสระทั้งในเซลล์และนอกเซลล์ได้ดี ละยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ และจากอาหาร เช่น Glutathione, Coenzyme Q10 , และ Vitamin C ซึ่งการทำงานเหล่านี้ จะช่วยรักษาหรือฟื้นฟูความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกันที่อาจนำไปสู่ภาวะการอักเสบเรื้อรัง ก่อให้เกิดโรค

รีวิวจากผู้ใช้ Octavis

กัญญา
ฉันเริ่มสูญเสียการได้ยินแบบกระทันหันค่ะ ไปพบหมอหูคอจมูก ได้รับยาตามหมอสั่งเป็นยาหยอด ซื้อเครื่องช่วยฟังมาใส่ แต่การได้ยินแย่ลงตลอด สรุป ฉันหันมาทาน Octavis และมันเปลี่ยนชีวิตเลยค่ะ หลังจากเดือนเดียว ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ

 

ขวัญ
หมอเขาบอกว่าต้องผ่าตัดค่ะ และไม่มีวิธีอะไรที่จะช่วยได้ มันเป็นเพียงขั้นตอนเดียวที่เหลือก่อนจะหูหนวกแบบถาวร แต่ส่วนตัวคือเป็นคนกลัวการผ่าตัด จึงตัดสินใจหาข้อมูลออนไลน์เพื่อหาทางอื่น และก็พบกับ Octavis รู้สึกได้ว่าการได้ยินกลับมาหลังจากประมาณสองสัปดาห์ค่ะ ดีมากๆ

 

เจนจิรา
จากเพื่อนของดิฉันได้แนะนำ Octavis เพราะเพื่อนกลับมาได้ยินอีกหลังจากเจออุบัติเหตุ สำหรับตัวเอง มีปัญหาการได้ยินอยู่ตลอด สวมเครื่องช่วยฟังมานานมากแล้ว แต่ตอนนี้ถอดออกได้แล้วค่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีมาก ทานง่ายสะดวกด้วย

 

จะเห็นผลได้เมื่อไร?

1 – 3 วันหลังใช้
บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ทำให้ความชัดเจนของเสียงที่ได้ยินและเสียงพูดกลับมา จะลืมไปเลยว่าเคยใช้เวลาทั้งวันพยายามฟังที่คนพูดและรู้สึกไม่สะดวกสบายจากเสียงเพลงหรือเสียงรอบข้าง

7 – 9 วันหลังใช้
การได้ยินดีขึ้น 70% และไม่ต้องใช้เครื่องช่วยฟังอีกต่อไป คุณจะได้ยินผู้คนพูดง่ายขึ้นไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลออกไป ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

19 – 30 วันหลังใช้
การได้ยินฟื้นคืนกลับมาดีขึ้นอย่างรู้สึกได้ชัด ทิ้งเครื่องช่วยฟังไปได้เลย คุณสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่

 

ปริมาณการทาน: วันละครั้ง ครั้งละ 1 แคปซูล ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์และเด็ก

ปริมาณบรรจุ: 20 แคปซูล

หูตึงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีการได้ยินที่ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบและรับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสม