หลายคนมักกังวลว่า “ฉี่บ่อย” คือสัญญาณของโรคไตหรือไม่ ความจริงแล้ว อาการที่บ่งชี้ปัญหาไตได้ชัดเจนกว่า กลับไม่ใช่การปัสสาวะบ่อยในเวลากลางวัน แต่คือ “การลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืน”
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อน
ปัสสาวะ คือของเสียในรูปของเหลวที่ร่างกายขับออกผ่านไต โดยไตทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด หากเราสังเกตให้ดี ปัสสาวะสามารถสะท้อนความผิดปกติของร่างกายได้มากกว่าที่คิด
แพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไต อธิบายว่า
ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง หากมีการปัสสาวะ มากกว่า 8 ครั้งต่อวัน หรือ ต้องตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืนมากกว่า 2 ครั้ง จึงถือว่าเข้าข่าย “ปัสสาวะบ่อย”
โดยปกติ กระเพาะปัสสาวะของคนเราสามารถเก็บปัสสาวะได้ประมาณ 300–400 ซีซี เมื่อมีปริมาณปัสสาวะสะสมเกินครึ่งหนึ่งของความจุ กระเพาะปัสสาวะจะส่งสัญญาณไปยังสมองให้รับรู้ว่าถึงเวลาควรเข้าห้องน้ำแล้ว
โรคที่พบบ่อยในผู้ที่มีอาการปัสสาวะบ่อย
อันดับหนึ่ง — การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Cystitis)
มักมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะไม่สุด และบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย
อันดับสอง — โรคเบาหวาน
คำว่า “เบา” มีความหมายถึงปัสสาวะ โรคนี้ทำให้มีน้ำตาลปนออกมากับปัสสาวะ น้ำตาลจะดึงน้ำออกจากร่างกาย ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยและร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ
แล้วโรคไตล่ะ?
สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดคือ โรคไตมักไม่เริ่มต้นด้วยอาการฉี่บ่อยในเวลากลางวัน
แต่จะเริ่มจาก “การปัสสาวะตอนกลางคืน” มากกว่า
เมื่อไตเริ่มเสื่อม ความสามารถในการทำให้ปัสสาวะเข้มข้นในช่วงนอนหลับจะลดลง ส่งผลให้ปัสสาวะมีลักษณะเจือจาง และไหลมาสะสมในกระเพาะปัสสาวะเร็วกว่าปกติ จนต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกบ่อยครั้ง
ดังนั้น
👉 “ฉี่กลางคืน” จึงเป็นสัญญาณของโรคไตมากกว่า “ฉี่บ่อย”
อย่างไรก็ตาม หากเป็น ไตเสื่อมระยะท้าย หรือไตวายเฉียบพลัน อาการที่พบได้บ่อยกลับไม่ใช่ฉี่บ่อย แต่คือ “ฉี่น้อย” ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์ทันที
การสังเกตปัสสาวะของตนเองอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยให้คุณตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรก และดูแลไตได้อย่างทันท่วงที





