โรคเบาหวาน คือ อะไร?
โรคเบาหวาน หมายถึง โรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
โรคเบาหวาน (Diabetes) หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของร่างกายที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ได้เพียงพอ หรือเกิดภาวะต้านอินซูลินส่งผลให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดค่าสูงกว่าปกติ
โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด ได้แก่
- โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน ส่วนใหญ่พบในเด็ก จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาอินซูลิน
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวานร่วมด้วยในระยะแรกสามารถรับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้าเป็นนานๆ บางรายจำเป็นต้องใช้ยาอินซูลิน
- โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ วินิจฉัยขณะตั้งครรภ์ และภาวะนี้มักหายไปหลังจากคลอด
- โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคที่ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด หรือการรับประทานยาที่มีสารสเตียรอยด์
ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2
- อายุ 35 ปีขึ้นไป
- มีโรคอ้วน หรือ รอบเอวเกินมาตรฐาน (มากกว่า 90เซนติเมตรในผู้ชาย หรือ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง) และมีพ่อ แม่ พี่ น้องเป็นโรคเบาหวาน
- มีโรคความดันโลหิตสูง หรือรับประทานยาความดันโลหิตอยู่
- ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ระดับไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับคอเลสเตอรอล เอสดีแอล < 35มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
- มีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- เคยได้รับการตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เช่น ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 100 – 125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับน้ำตาลสะสม 5.7 – 6.4 %
- มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
อะไรคือความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานประเภทที่ 2?
แม้จะอยู่ระหว่างเข้ารับดูแลแล้ว แต่อาการก็สามารถทรุดลงได้ตลอดเวลา! และสามารถนำไปสู่อาการแทรกซ้อนที่รุนแรงหลายอย่าง:
- เส้นเลือดในสมองแตก : ภาวะที่สมองขาดเลือดและออกซิเจน เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง เซลล์สมองจึงตาย
- กล้ามเนื้อหัวใจตาย : เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย จากการขาดเลือดไปเลี้ยง
- ปัญหาหลอดเลือด : ความผิดปกติของหลอดเลือดทั้ง ตีบ แตก หรือตัน ซึ่งล้วนนำไปสู่การเสียชีวิต
- ปัญหาไต : การทำงานของไตผิดปกติ ทำให้ร่างกายขาดสมดุล
- ปัญหาระบบประสาท : การทำงานที่ผิดปกิตของระบบประสาท อาจส่งผลต่อการทำงานของหลอดเลือดด้วย
- เนื้อตาย : เนื้อเยื่อตาย อาจทำให้ต้องเสียแขนขาได้
- ตาบอด : สูญเสียการมองเห็น
- ไตวายเรื้อรัง : เนื้อเยื่อไตค่อยๆ เสื่อมสภาพอย่างต่อเนื่อง
คำแนะนำในการปฎิบัติตัวสำหรับผู้เป็นเบาหวาน
- ควรดื่มน้ำสะอาดมากกว่า 8 แก้วต่อวัน
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต ไขมันในเลือดและน้ำหนักตัวให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ครบทั้ง 3 มื้อ แม้จะไม่หิวก็ตาม ลดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานของว่างที่ไม่จำเป็น
- รับประทานข้าว/แป้งไม่ขัดสีในปริมาณที่หมาะสม (1-3 ทัพพีต่อมื้อ)
- รับประทานผลไม้สดเป็นประจำ 2-3 มื้อต่อวัน ปริมาณ 6-8 ชิ้นคำต่อมื้อ หากเลือกผลไม้ขนาดกลาง ½ ผลต่อมื้อ หรือขนาดค่อนข้างเล็ก 1-2 ผลต่อมื้อ
- รับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและไม่ติดมันในปริมาณที่เหมาะสม
- เน้นผักใบให้มาก
- ใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหารได้ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว
- แนะนำให้ดื่มนมรสจืดพร่องมันเนย หรือขาดมันเนยประมาณ 250 มิลลิลิตรต่อวัน หรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่เกิน 1 ถ้วยต่อวัน
- อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้ออาหารทุกครั้ง
- ออกกำลังกายวันละ 30 นาที ย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- รับประทานยา หรือฉีดยาตามคำสั่งแพทย์
- สำรวจเท้า และทาโลชั่นทุกวันทันทีหลังจากทำความสะอาด หากพบความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
ควรตรวจฟันและช่องปากทุก 6 เดือน - ลดการรับประทานอาหารหวาน เครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรือให้ใช้น้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานเทียมแทนน้ำตาล
- ลดการรับประทานอาหารมัน เช่น อาหารจานเดียว อาหารทอดและอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ รวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน หมูยอ กุนเชียง เป็นต้น
- ลดการรับประทานอาหารเค็ม เช่น ขนมมกรุบกรอบ อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง และเครื่องปรุงรส เป็นต้น รวมถึงการลดการรับประทานน้ำซุปต่างๆ หรือใช้หลักการตักเนื้อทิ้งน้ำ และลดการรับประทานน้ำจิ้ม
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การต่อสู้กับเบาหวานนั้นควรครอบคลุมทุกด้าน และควรใช้วิธีเหล่านี้ที่ไม่เพียงแต่ลดระดับน้ำตาลเท่านั้น แต่ยังให้ความปลอดภัยสำหรับทั้งร่างกายอีกด้วย
หากเรากำลังพูดถึงผลิตภัณฑ์เฉพาะที่ผู้คนสามารถใช้ช่วยต่อสู้กับเบาหวานได้ด้วยตัวเองนั้น Difort ได้รับการพัฒนาในห้องปฏิบัติการของเราที่สถาบันเบาหวานแห่งเอเชียตะวันออก นี่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสารเคมี แต่เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ และผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดระดับน้ำตาล แต่ยังช่วยเสริมสร้างหลอดเลือด ลดคอเลสเตอรอล และปรับปรุงการเผาผลาญอีกด้วย
Difort มีสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเบาหวานได้
วิธีใช้ Difort?
Difort ยังช่วยให้เสริมสร้างให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันมีผลที่ซับซ้อนและไม่ใช่แค่กับระดับน้ำตาลเท่านั้น และยังมีวิตามินและกรดอะมิโนที่ช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์จึงมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างร่างกายโดยรวม
Difort ไม่เพิ่มระดับอินซูลิน และยังช่วยลดการดื้อต่ออินซูลิน นี่เป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมาก ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อ ไขมัน และตับได้โดยตรง และช่วยกระตุ้นและตอบสนองต่อฮอร์โมนในเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการนี้เรียกว่า “การสร้างเซลล์ทุติยภูมิ” เป็นผลให้เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์สามารถบริโภคกลูโคสมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ความเข้มข้นในเลือดลดลง
จากการสำรวจลูกค้าที่ทานผลิตภัณฑ์นี้ พวกเขารู้สึกดีขึ้นทุกช่วงเวลาของวัน รวมทั้งหลังรับประทานอาหารด้วย พวกเขาไม่กระหายอีกต่อไป กลากและผื่นเริ่มหายไป อาการคันของอวัยวะเพศหายไป และการวิ่งไปเข้าห้องน้ำก็เริ่มลดน้อยลง
Difort ราคาเท่าไหร่?
ราคากล่อง Difort ยา เดิมอยู่ที่ 1980 บาท โดยเฉพาะตอนนี้เมื่อสั่งสินค้ารับส่วนลดสูงสุด 50% เพียง 990 บาท / 1 กล่อง
วิธีการสั่งซื้อ Difort ?
- ลงทะเบียน ทิ้งคำสั่งซื้อของคุณไว้บนเว็บไซต์
- จากนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์จะติดต่อกลับหาคุณ
- การจัดส่งและท่านจะได้รับสินค้าภายใน 3-5 วัน
ทุกคนสามารถสั่งซื้อและรับสินค้า Difort ได้ โดยไม่ต้องมีใบรับรองใด ๆ สามารถรับ Difort ได้จนกว่าจะสิ้นสุดโปรโมชั่น จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการในราคาพิเศษ เหลือเพียง 990 ฿ บาทเท่านั้น