โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนไทย และผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ ยาลดน้ำตาลในเลือด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติ ยาเหล่านี้ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ไตวาย เบาหวานขึ้นตา หรือปลายประสาทเสื่อม
แต่การใช้ยาเบาหวานก็ไม่ใช่ว่าจะกินเวลาไหนหรือกินอย่างไรก็ได้ เพราะหากใช้ไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิด ผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) หรือทำให้การควบคุมน้ำตาลไม่ได้ผล
ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจอย่างละเอียดว่า ผู้ป่วยเบาหวานควรระวังอะไรบ้างเมื่อต้องกินยาลดน้ำตาลในเลือด เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
ประเภทของยาลดน้ำตาลในเลือด
การรู้จักชนิดของยาเบาหวานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะข้อควรระวังและวิธีใช้จะแตกต่างกัน
1. Metformin (เมตฟอร์มิน)
-
ข้อดี: เป็นยาหลักที่ใช้บ่อยที่สุด ช่วยลดการสร้างน้ำตาลจากตับ และทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น
-
ข้อควรระวัง: อาจทำให้ท้องเสีย ปวดท้อง หรือคลื่นไส้ หากกินตอนท้องว่าง
-
คำแนะนำ: ควรกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที
2. Sulfonylureas (ซัลโฟนิลยูเรีย)
-
ตัวอย่างยา: Gliclazide, Glimepiride, Glibenclamide
-
ข้อดี: กระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน ลดน้ำตาลได้เร็ว
-
ข้อควรระวัง: เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ หากลืมกินอาหารหลังจากกินยา
-
คำแนะนำ: ควรกินก่อนอาหารประมาณ 30 นาที และต้องไม่ข้ามมื้ออาหาร
3. DPP-4 inhibitors (ตัวยับยั้ง DPP-4)
-
ตัวอย่างยา: Sitagliptin, Vildagliptin
-
ข้อดี: ช่วยให้อินซูลินทำงานดีขึ้น ลดน้ำตาลหลังอาหาร
-
ข้อควรระวัง: แม้จะปลอดภัยสูง แต่ควรกินตรงเวลาทุกวัน
-
คำแนะนำ: กินได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร
4. SGLT2 inhibitors (ตัวยับยั้ง SGLT2)
-
ตัวอย่างยา: Empagliflozin, Dapagliflozin
-
ข้อดี: ขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ
-
ข้อควรระวัง: อาจเสี่ยงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือขาดน้ำได้
-
คำแนะนำ: ดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวัน
5. อินซูลิน (Insulin)
-
ข้อดี: ลดน้ำตาลในเลือดได้ทันทีและมีหลายรูปแบบ เช่น ออกฤทธิ์เร็ว สั้น กลาง และยาว
-
ข้อควรระวัง: ต้องฉีดตรงเวลาตามชนิด หากผิดเวลาเสี่ยงน้ำตาลต่ำ
-
คำแนะนำ: ปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
สิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องระวังเมื่อต้องใช้ยา
1. ห้ามหยุดยาเอง
หลายคนหยุดยาเพราะคิดว่าน้ำตาลปกติแล้ว แต่ความจริงระดับน้ำตาลอาจสูงขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว ทำให้เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนระยะยาว
2. ห้ามข้ามมื้ออาหาร
โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยา Sulfonylureas หรือ Insulin เพราะจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้
3. กินยาให้ตรงเวลา
การกินยาไม่ตรงเวลาอาจทำให้ระดับน้ำตาลแกว่ง ส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาไม่ดี
4. ระวังการใช้ร่วมกับยาอื่น
เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดัน หรือสมุนไพรบางชนิด อาจทำให้ระดับน้ำตาลเปลี่ยนแปลง ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
5. สังเกตอาการผิดปกติ
-
มือสั่น เหงื่อออก ใจสั่น = อาจเป็นภาวะน้ำตาลต่ำ
-
ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก = อาจเป็นภาวะน้ำตาลสูง
-
คลื่นไส้ ท้องเสียบ่อย = อาจเกิดจาก Metformin
6. ปรับพฤติกรรมควบคู่ไปด้วย
-
ควบคุมอาหาร
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
-
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ตารางสรุปข้อควรระวัง
ประเภทของยา | ข้อควรระวัง | คำแนะนำ |
---|---|---|
Metformin | ปวดท้อง คลื่นไส้ หากกินตอนท้องว่าง | กินพร้อมอาหาร |
Sulfonylureas | น้ำตาลต่ำหากข้ามมื้ออาหาร | กินก่อนอาหาร 30 นาที |
DPP-4 inhibitors | ต้องกินตรงเวลา | กินได้ก่อนหรือหลังอาหาร |
SGLT2 inhibitors | เสี่ยงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ | ดื่มน้ำมากพอ |
Insulin | ฉีดผิดเวลาเสี่ยงน้ำตาลต่ำ | ทำตามแพทย์สั่ง |
เคล็ดลับการใช้ยาอย่างปลอดภัย
-
พกขนมหวานหรือกลูโคสแท็บเล็ตติดตัวไว้ เผื่อเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ
-
ใช้นาฬิกาปลุกหรือแอปมือถือช่วยเตือนเวลากินยา
-
ตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ และจดบันทึก
-
พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
ผลเสียหากใช้ยาไม่ถูกต้อง
-
น้ำตาลสูงเรื้อรัง → เสี่ยงโรคหัวใจ ไตเสื่อม
-
น้ำตาลต่ำฉับพลัน → อันตรายถึงชีวิต
-
ผลข้างเคียงจากยา → ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง
-
ดื้อยา → ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณหรือเปลี่ยนยา
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: ถ้าลืมกินยาเบาหวานควรทำอย่างไร?
👉 หากเพิ่งลืมไปไม่นาน ให้กินทันที แต่ถ้าใกล้มื้อต่อไป ให้ข้ามไปเลย ห้ามกินเพิ่ม
Q2: กินยาเบาหวานพร้อมอาหารเสริมได้ไหม?
👉 ส่วนใหญ่ได้ แต่ควรเว้นระยะ 1–2 ชั่วโมง และควรแจ้งแพทย์ก่อน
Q3: ผู้ป่วยเบาหวานสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ไหม?
👉 ไม่แนะนำ เพราะอาจรบกวนการทำงานของยาและเสี่ยงภาวะน้ำตาลต่ำ
Q4: การออกกำลังกายมีผลต่อการกินยาหรือไม่?
👉 มีผล โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ Insulin ควรปรับเวลาอาหารและยาตามคำแนะนำแพทย์
Q5: ถ้าต้องเดินทางไปต่างประเทศควรทำอย่างไร?
👉 ควรพกยาไปให้ครบ และปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเวลาให้ตรงกับประเทศปลายทาง
ผู้ป่วยเบาหวานควรใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดอย่างระมัดระวัง กินตรงเวลา ไม่หยุดยาเอง และสังเกตอาการผิดปกติอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังต้องควบคู่กับการดูแลสุขภาพ เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และพบแพทย์ตามนัด
การใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ จะช่วยให้การรักษาโรคเบาหวานมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว