กระเพาะปัสสาวะอักเสบ & การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ – รู้ให้ทัน ป้องกันได้

ทำความรู้จักกับกระเพาะปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection – UTI) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิง แต่ผู้ชายก็สามารถเป็นได้เช่นกัน อาการเหล่านี้อาจดูเหมือนเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ เช่น การติดเชื้อไต หรือภาวะไตอักเสบ

การเข้าใจสาเหตุ อาการ การป้องกัน และการรักษาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะได้ดียิ่งขึ้น

ระบบทางเดินปัสสาวะคืออะไร

ระบบทางเดินปัสสาวะประกอบด้วย

  • ไต (Kidneys) – ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด

  • ท่อไต (Ureters) – ลำเลียงปัสสาวะจากไตสู่กระเพาะปัสสาวะ

  • กระเพาะปัสสาวะ (Bladder) – เก็บปัสสาวะก่อนขับออก

  • ท่อปัสสาวะ (Urethra) – ช่องทางขับปัสสาวะออกจากร่างกาย

เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ระบบนี้และก่อให้เกิดการอักเสบ จะเรียกว่า “การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ” และถ้าเชื้ออยู่ที่กระเพาะปัสสาวะ จะเรียกว่า “กระเพาะปัสสาวะอักเสบ”

สาเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบและ UTI

  1. เชื้อแบคทีเรีย E. coli – สาเหตุอันดับหนึ่ง มักมาจากลำไส้เข้าสู่ท่อปัสสาวะ

  2. การกลั้นปัสสาวะบ่อย – ทำให้เชื้อสะสมและเพิ่มจำนวน

  3. การดื่มน้ำน้อย – ปัสสาวะไม่เพียงพอในการขับเชื้อออก

  4. ความสะอาดไม่เพียงพอ – โดยเฉพาะการเช็ดทำความสะอาดหลังขับถ่าย

  5. การใช้ห้องน้ำสาธารณะ – เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโรค

  6. ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ – เช่น ในผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยเบาหวาน

  7. การมีเพศสัมพันธ์ – อาจนำเชื้อเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้

อาการที่พบบ่อย

  • ปัสสาวะแสบ ขัด หรือปวด

  • ปัสสาวะบ่อยแต่ครั้งละน้อย

  • ปัสสาวะมีกลิ่นแรงหรือขุ่น

  • ปวดท้องน้อยหรือหลังส่วนล่าง

  • อาจมีเลือดปนในปัสสาวะ

  • รู้สึกอ่อนเพลีย หรือมีไข้ (ในกรณีติดเชื้อลุกลาม)

ความแตกต่างระหว่างกระเพาะปัสสาวะอักเสบกับการติดเชื้อไต

  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบ – อาการจะอยู่เฉพาะบริเวณปัสสาวะและท้องน้อย

  • การติดเชื้อไต – อาจมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดหลังรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน

ปัจจัยเสี่ยง

  • ผู้หญิง (เนื่องจากท่อปัสสาวะสั้นกว่า)

  • ผู้ที่ดื่มน้ำน้อย

  • ผู้ที่กลั้นปัสสาวะบ่อย

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน

  • ผู้สูงอายุ

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

วิธีวินิจฉัย

แพทย์อาจทำการ

  • ตรวจปัสสาวะ (Urinalysis) เพื่อหาสัญญาณการติดเชื้อ

  • เพาะเชื้อปัสสาวะ (Urine culture) เพื่อระบุชนิดของเชื้อ

  • ตรวจเลือด (ในบางกรณี)

  • อัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์ (ถ้าสงสัยว่ามีความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ)

การรักษา

การใช้ยา

  • ยาปฏิชีวนะ – ใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น เพื่อป้องกันการดื้อยา

  • ยาลดปวด – บรรเทาอาการปัสสาวะแสบขัด

การดูแลตนเอง

  • ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อย 1.5–2 ลิตรต่อวัน

  • ปัสสาวะบ่อย ไม่กลั้น

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

หากปล่อยให้การติดเชื้อเป็นเรื้อรัง อาจเกิด

  • การติดเชื้อไต

  • ไตอักเสบเรื้อรัง

  • ไตวาย

  • การติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด (Sepsis) – อันตรายถึงชีวิต

การป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบและ UTI

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • ไม่กลั้นปัสสาวะ

  • รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ

  • ปัสสาวะหลังมีเพศสัมพันธ์

  • เลือกชุดชั้นในที่ระบายอากาศดี

  • รับประทานอาหารที่ช่วยดูแลทางเดินปัสสาวะ เช่น แครนเบอร์รี

สมุนไพรและอาหารเสริมที่ช่วยดูแลระบบทางเดินปัสสาวะ

  • แครนเบอร์รี (Cranberry) – ป้องกันการเกาะของแบคทีเรีย E. coli

  • ดอกแดนดิไลออน – ขับปัสสาวะ ลดการคั่งของเชื้อ

  • มะรุม – เสริมภูมิคุ้มกัน

  • โหงวบี่จี๋ – บำรุงไตและลดการอักเสบ

สัญญาณเตือนให้รีบพบแพทย์

  • มีไข้สูง หนาวสั่น

  • ปัสสาวะเป็นเลือดจำนวนมาก

  • ปวดหลังรุนแรง

  • คลื่นไส้ อาเจียน

  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วันหลังเริ่มดูแลตัวเอง

กระเพาะปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นภาวะที่พบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ดื่มน้ำเพียงพอ รักษาความสะอาด และพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการ เพื่อป้องกันการลุกลามสู่ภาวะอันตราย